shutterstock_263440451

พิธีรับปริญญาในภาษาอังกฤษ เรียกว่า “Commencement” ซึ่งแปลว่า “จุดเริ่มต้น”

แต่เอ…หลายคนคงจะสงสัยว่า ทำไมถึงเรียกว่าจุดเริ่มต้น ทั้งๆที่มันคือ Graduation Day –หรือคือวันเรียนจบ

สาเหตุก็เพราะวันที่เราเรียนจบ..คือวันที่ชีวิตวัยนักเรียนได้สิ้นสุดลง และชีวิตของการทำงาน และความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้เริ่มขึ้น

นักเรียนได้วาดฝันถึงวันนี้มาตั้งแต่ปี 1  หรือช่วงมัธยม..ก็ยังมี  พอใกล้ถึงวันนั้นทุกคนเตรียมชุด หาช่างกล้องประจำตัว การด์ชวนเพื่อน ช่างแต่งหน้าทำผม—แต่ ถามจริง..มีใครเตรียมเรซูเม่ คะแนนโทอิค หรือทักษะการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับวันต่อไปหลังจากงานรับปริญญามั้ย?

มีน้อยคนนักที่เตรียม–บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโทอิคคืออะไร  แล้วมีการตกใจเมื่อคนสัมภาษณ์–หน้าตาก็ไทย  แต่ถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษ–เงิบไปเลย!

พอเราเตรียมตัวช้า—คนที่เตรียมมาก่อนก็จะได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆก่อน แล้วเหลืออะไรให้เราละ?

หลายคนเหลือเกินที่มาหา KruMae แล้วขอให้ได้คะแนนโทอิคเท่านั้น เท่านี้ในเวลาจำกัด  หรือไม่ก็ขอติวสัมภาษณ์งาน–ทั้งๆที่ทักษะการพูดการฟังนั้นแทบจะไม่มีเลย  สุดท้ายก็ต้องพบกับความจริงว่า โอกาสไม่เคยรอใคร–ในเมื่อเราไม่พร้อม..มันก็จะไปหาคนอื่นที่พร้อมกว่า…

แต่..ข้อดีของโอกาส ก็คือ..ในชีวิตเรา..มันจะมาหลายรอบ  ยิ่งเราพัฒนาทักษะของตัวเองมากเท่าไหร่–โอกาสจะมาหาเราถี่ขึ้นเท่านั้น!

KruMae แนะนำ 5 เทคนิคในการหางาน สำหรับนักศึกษาที่ใกล้จะเรียนจบ

  • เขียน Resume ของตัวเอง  ใบนี้บอกประวัติของเรา รวมทั้งประสบการณ์และการศึกษา  ในเมื่อเรายังไม่มีประสบการณ์ก็ให้เน้นทักษะ หรือกิจกรรมที่เป็นตัวเด่น เช่น ได้แข่งการประกวดได้รับรางวัล หรือเป็นผู้นำ/หัวหน้ากลุ่ม  ไม่ต้องเขียนให้ยาว 2-3 หน้ากระดาษ  เขียนหน้าเดียว–พอ  สไตล์ที่ KruMae ชอบจะเป็นแบบอเมริกันที่สั้นๆได้ใจความ แผ่นเดียว–หน้าเดียว  เพราะคนอ่านไม่มีเวลามานั่งอ่านเรซุเม่ที่มีแต่คำเยอะๆ หรูๆ แต่สรุปหน้าที่การงานไม่ได้เลย คนอ่านมักจะไม่มีเวลาอ่าน เราจึงควรทำ Resume ให้สั้่นๆ แต่น่าประทับใจ..จะดีกว่า
  • คะแนน TOEIC มีมั้ย?  ข้อสอบโทอิค–นับวันจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องได้อย่างน้อย 550/990 ขึ้นไปถึงจะได้รับพิจารณา ถ้าเราไม่แนบคะแนนโทอิคไปกับใบสมัคร แต่เขียนว่าภาษาอังกฤษดี–ใครจะเชื่อ  มีหวังใบสมัครก็กองอยู่กับพวกอื่นๆที่ไม่มีคะแนนโทอิคมายืนยันความสามารถ–กินฝุ่นต่อไป   คลิกที่นี่เพื่อดูว่าข้อสอบโทอิคคืออะไร สอบอะไรบ้าง และมันสำคัญอย่างไร
  • พูดภาษาอังกฤษเป็นบ้างหรือปล่าว?  ถ้าพูดไม่เป็น–เวลาสัมภาษณ์ก็จะเป็นสไตล์ท่องๆ ซึ่งมันไม่ได้ผลดีให้ใครเลยเพราะนอกจากเราจะเกรงแบบสุดๆ ถ้าเราลืมแค่คำเดียว–ก็จอด  แถมคนถามอะ  ถาม/สัมภาษณ์มาเยอะแล้ว–ใครท่องไม่ท่อง–เนี่ย รู้หมด  หนังสือการสัมภาษณ์ถึงช่วยเราไม่ได้เพราะตัวอย่างที่ให้มานั้น–เราจะไม่เจอในการสัมภาษณ์ของเราเลย  KruMae ขอบอกหลายๆรอบ ว่าทักษะการพูด–เราจะเก่งภายในเดือนเดียวนั้น–IMPOSSIBLE!  ถ้าทันเป็นไปได้–(ใครต่อใครจะไปทำไมเมืองนอก–หนาวก็หนาว  เหงาก็เหงา แถมอาหารไทยก็แพง!) เราจึงต้องฝึกบ่อยๆ นานๆ เพื่อความมั่นใจ และความเคยชินในการใช้ภาษาอังกฤษ  เวลาใครถามอะไรเรา เราก็จะสามารถคิดคำตอบ–สดๆ ได้เลย!  ถ้าเรายังไม่เคยเรียนสนทนา เราก็ควรเริ่มในคอร์สที่สอนพื้นฐานในการสนทนา เช่นการสร้างประโยคถามตอบ ก่อนที่จะกระโดดเรียนกับครูต่างชาติ
  • รู้จัก NETWORKING อันนี้ก็คือ มีเพื่อนทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ และคนที่ทำงานแล้ว  อย่างเช่นคอร์สภาษาที่สถาบัน FMCP English เน้นการสอนผู้ใหญ่ วัยทำงานโดยเฉพาะ–นักศึกษาที่เรียนในคอร์สเดียวกันจะรู้จักพวกพี่ๆ ที่ทำงานแล้ว พี่ๆนี้จะสามารถให้แนวทางในการสมัครงานที่บริษัทที่เค้าทำอยู่ หรือไม่ก็มีข้อมูลพิเศษของคนใน ที่อาจจะมีค่าสำหรับคนที่กำลังหางานอีกด้วย  ที่สำคัญ–พวกพี่ๆนั้นกำลังทำงานในหน้าที่นั้นๆ นักศึกษาของเราจึงสามารถถามถึงหน้าที่การงานของตำแหน่งนั้น ก่อนที่เราจะลงมือทำอีกด้วย
  • จัดระเบียบ Social Media (FACEBOOK, TWITTER, INSTRAGRAM) เพราะบริษัทสมัยนี้จะอยากรู้ตัวจริงของผู้สมัคร จึงมักเข้าพวกโซเชลเพื่อศึกษาข้อมูล  ถ้าไม่อยากให้เค้าเห็นอะไรแปลกๆ ก็ลบให้หมด–ไม่อย่างนั้นก็ต้องโปลไฟลตัวเองให้เป็นส่วนตัว
  • เริ่มหางานก่อนใคร   ส่วนใหญ่นักเรียนจะเริ่มหางานหลังจบการศึกษา–รอทำไม?  ในเมื่อคะแนนโทอิคมีอายุ 2 ปี และมีหลายบริษัทที่จะรับเราเข้าทำงาน 2-3 เดือนก่อนจบปริญญา– ถ้าเราได้เลือกก่อน–เราก็มีโอกาสจะได้สิ่งดีๆก่อน

5 อย่างนี้ก็จะทำให้เราเตรียมพร้อมในการทำงานกว่าใคร

ในวันที่เราเรียนจบ เราจะสามารถยิ้มได้อย่างเต็มที่เพราะเราจะตื่นเต้นกับงานใหม่ที่รอเราอยู่ และสิ้นสุดการใช้ชีวิตแบบนักเรียนซักที!


LIKE US ON FACEBOOK!

Leave a Reply

Your email address will not be published.