พิธีรับปริญญาในภาษาอังกฤษ เรียกว่า “Commencement” ซึ่งแปลว่า “จุดเริ่มต้น”
แต่เอ…หลายคนคงจะสงสัยว่า ทำไมถึงเรียกว่าจุดเริ่มต้น ทั้งๆที่มันคือ Graduation Day –หรือคือวันเรียนจบ
สาเหตุก็เพราะวันที่เราเรียนจบ..คือวันที่ชีวิตวัยนักเรียนได้สิ้นสุดลง และชีวิตของการทำงาน และความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้เริ่มขึ้น
นักเรียนได้วาดฝันถึงวันนี้มาตั้งแต่ปี 1 หรือช่วงมัธยม..ก็ยังมี พอใกล้ถึงวันนั้นทุกคนเตรียมชุด หาช่างกล้องประจำตัว การด์ชวนเพื่อน ช่างแต่งหน้าทำผม—แต่ ถามจริง..มีใครเตรียมเรซูเม่ คะแนนโทอิค หรือทักษะการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับวันต่อไปหลังจากงานรับปริญญามั้ย?
มีน้อยคนนักที่เตรียม–บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโทอิคคืออะไร แล้วมีการตกใจเมื่อคนสัมภาษณ์–หน้าตาก็ไทย แต่ถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษ–เงิบไปเลย!
พอเราเตรียมตัวช้า—คนที่เตรียมมาก่อนก็จะได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆก่อน แล้วเหลืออะไรให้เราละ?
หลายคนเหลือเกินที่มาหา KruMae แล้วขอให้ได้คะแนนโทอิคเท่านั้น เท่านี้ในเวลาจำกัด หรือไม่ก็ขอติวสัมภาษณ์งาน–ทั้งๆที่ทักษะการพูดการฟังนั้นแทบจะไม่มีเลย สุดท้ายก็ต้องพบกับความจริงว่า โอกาสไม่เคยรอใคร–ในเมื่อเราไม่พร้อม..มันก็จะไปหาคนอื่นที่พร้อมกว่า…
แต่..ข้อดีของโอกาส ก็คือ..ในชีวิตเรา..มันจะมาหลายรอบ ยิ่งเราพัฒนาทักษะของตัวเองมากเท่าไหร่–โอกาสจะมาหาเราถี่ขึ้นเท่านั้น!
KruMae แนะนำ 5 เทคนิคในการหางาน สำหรับนักศึกษาที่ใกล้จะเรียนจบ
- เขียน Resume ของตัวเอง ใบนี้บอกประวัติของเรา รวมทั้งประสบการณ์และการศึกษา ในเมื่อเรายังไม่มีประสบการณ์ก็ให้เน้นทักษะ หรือกิจกรรมที่เป็นตัวเด่น เช่น ได้แข่งการประกวดได้รับรางวัล หรือเป็นผู้นำ/หัวหน้ากลุ่ม ไม่ต้องเขียนให้ยาว 2-3 หน้ากระดาษ เขียนหน้าเดียว–พอ สไตล์ที่ KruMae ชอบจะเป็นแบบอเมริกันที่สั้นๆได้ใจความ แผ่นเดียว–หน้าเดียว เพราะคนอ่านไม่มีเวลามานั่งอ่านเรซุเม่ที่มีแต่คำเยอะๆ หรูๆ แต่สรุปหน้าที่การงานไม่ได้เลย คนอ่านมักจะไม่มีเวลาอ่าน เราจึงควรทำ Resume ให้สั้่นๆ แต่น่าประทับใจ..จะดีกว่า
- คะแนน TOEIC มีมั้ย? ข้อสอบโทอิค–นับวันจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องได้อย่างน้อย 550/990 ขึ้นไปถึงจะได้รับพิจารณา ถ้าเราไม่แนบคะแนนโทอิคไปกับใบสมัคร แต่เขียนว่าภาษาอังกฤษดี–ใครจะเชื่อ มีหวังใบสมัครก็กองอยู่กับพวกอื่นๆที่ไม่มีคะแนนโทอิคมายืนยันความสามารถ–กินฝุ่นต่อไป คลิกที่นี่เพื่อดูว่าข้อสอบโทอิคคืออะไร สอบอะไรบ้าง และมันสำคัญอย่างไร
- พูดภาษาอังกฤษเป็นบ้างหรือปล่าว? ถ้าพูดไม่เป็น–เวลาสัมภาษณ์ก็จะเป็นสไตล์ท่องๆ ซึ่งมันไม่ได้ผลดีให้ใครเลยเพราะนอกจากเราจะเกรงแบบสุดๆ ถ้าเราลืมแค่คำเดียว–ก็จอด แถมคนถามอะ ถาม/สัมภาษณ์มาเยอะแล้ว–ใครท่องไม่ท่อง–เนี่ย รู้หมด หนังสือการสัมภาษณ์ถึงช่วยเราไม่ได้เพราะตัวอย่างที่ให้มานั้น–เราจะไม่เจอในการสัมภาษณ์ของเราเลย KruMae ขอบอกหลายๆรอบ ว่าทักษะการพูด–เราจะเก่งภายในเดือนเดียวนั้น–IMPOSSIBLE! ถ้าทันเป็นไปได้–(ใครต่อใครจะไปทำไมเมืองนอก–หนาวก็หนาว เหงาก็เหงา แถมอาหารไทยก็แพง!) เราจึงต้องฝึกบ่อยๆ นานๆ เพื่อความมั่นใจ และความเคยชินในการใช้ภาษาอังกฤษ เวลาใครถามอะไรเรา เราก็จะสามารถคิดคำตอบ–สดๆ ได้เลย! ถ้าเรายังไม่เคยเรียนสนทนา เราก็ควรเริ่มในคอร์สที่สอนพื้นฐานในการสนทนา เช่นการสร้างประโยคถามตอบ ก่อนที่จะกระโดดเรียนกับครูต่างชาติ
- รู้จัก NETWORKING อันนี้ก็คือ มีเพื่อนทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ และคนที่ทำงานแล้ว อย่างเช่นคอร์สภาษาที่สถาบัน FMCP English เน้นการสอนผู้ใหญ่ วัยทำงานโดยเฉพาะ–นักศึกษาที่เรียนในคอร์สเดียวกันจะรู้จักพวกพี่ๆ ที่ทำงานแล้ว พี่ๆนี้จะสามารถให้แนวทางในการสมัครงานที่บริษัทที่เค้าทำอยู่ หรือไม่ก็มีข้อมูลพิเศษของคนใน ที่อาจจะมีค่าสำหรับคนที่กำลังหางานอีกด้วย ที่สำคัญ–พวกพี่ๆนั้นกำลังทำงานในหน้าที่นั้นๆ นักศึกษาของเราจึงสามารถถามถึงหน้าที่การงานของตำแหน่งนั้น ก่อนที่เราจะลงมือทำอีกด้วย
- จัดระเบียบ Social Media (FACEBOOK, TWITTER, INSTRAGRAM) เพราะบริษัทสมัยนี้จะอยากรู้ตัวจริงของผู้สมัคร จึงมักเข้าพวกโซเชลเพื่อศึกษาข้อมูล ถ้าไม่อยากให้เค้าเห็นอะไรแปลกๆ ก็ลบให้หมด–ไม่อย่างนั้นก็ต้องโปลไฟลตัวเองให้เป็นส่วนตัว
- เริ่มหางานก่อนใคร ส่วนใหญ่นักเรียนจะเริ่มหางานหลังจบการศึกษา–รอทำไม? ในเมื่อคะแนนโทอิคมีอายุ 2 ปี และมีหลายบริษัทที่จะรับเราเข้าทำงาน 2-3 เดือนก่อนจบปริญญา– ถ้าเราได้เลือกก่อน–เราก็มีโอกาสจะได้สิ่งดีๆก่อน
5 อย่างนี้ก็จะทำให้เราเตรียมพร้อมในการทำงานกว่าใคร
ในวันที่เราเรียนจบ เราจะสามารถยิ้มได้อย่างเต็มที่เพราะเราจะตื่นเต้นกับงานใหม่ที่รอเราอยู่ และสิ้นสุดการใช้ชีวิตแบบนักเรียนซักที!